วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คังเซน เคนโก ปรับแผนธุรกิจขายตรง เตรียมพร้อม รุกAEC


        นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรง คังเซน เคนโก เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมปรับองค์กรใหม่ (Refresh) เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน และสร้างการเติบโตในอนาคต 

        ซึ่งบริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา 20ปีแล้วจึงถือโอกาสที่ต้องปรับเปลี่ยนองค์กรสักทีโดยตั้งเป้าหมายต้องการคนรุ่นใหม่เพื่อเข้ามาทำงานในองค์กรเพราะต้องการแนวคิดใหม่ๆ ในการสร้างแรงบรรดาลใจในการพัฒนาบริษัทต่อไป ส่วนในรายละเอียดแผนงานและงบประมาณขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนงานทั้งหมด โดยในอีก 2 ปีข้างหน้าบริษัทจะจัดงานฉลองความสำเร็จและการปรับภาพลักษณ์ใหม่ ที่ประเทศอินโดนีเซีย ร่วมกับสมาชิกที่ดำเนินธุรกิจในประเทศลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ เพื่อเตรียมการเปิดการค้าเสรี AEC

        ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมและปรับปรุงองค์กรมาบ้างในบางส่วนงาน เช่น การลงทุนระบบไอทีมูลค่าหลายสิบล้านบาท ทั้งในส่วนของเว็บไซต์ ที่สามารถทำการซื้อของออนไลน์
ผ่านแอพพลิเคชั่น ระบบไอทีภายในองค์กร สามารถรองรับยอดขายได้ 3-4 พันล้านบาท หากยอดขายเติบโตเพิ่มมากขึ้น บริษัทพร้อมที่จะลงทุนต่อเนื่องด้วย และพร้อมจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศทันทีอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแน้วโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอีกจึงได้วางแผนในการเตรียมความพร้อมเพิ่มมากขึ้น กับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 นั้น เชื่อว่าบริษัทจะเติบโตมากยิ่งขึ้นและได้รับการตอบรับในตลาดต่างประเทศเป็นอย่างดี

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พร้อมพงศ์ โต้ อภิสิทธิ์ กรณีไฟฟ้าใต้

        นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ 14 จังหวัดในภาคใต้ เป็นเพียงเกมการเมือง เพื่อหวังยึดเครดิตรัฐบาล  พร้อมยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อบีบให้ประชาชนยอมรับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแต่จากการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว และหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนนั้นเพราะกระแสไฟฟ้าไม่พอใช้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคอย่างแท้จริง

      อยากให้มองข้อเท็จจริงอย่านำปัญหานี้มาโจมตีรัฐบาลเพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งไม่มีประเด็นข้อเท็จจริงที่ชี้ชัดว่าเป็นการสร้างกระแสจะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และย้ำชัดว่าไม่เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างที่กล่าวอ้างอย่างแน่นอนเพราะการจะสร้างโรงไฟฟ้านั้นต้องได้รับการยินยอมจากประชาชนนพื้นที่เสียก่อน มิฉะนั้นจะไม่สามารถดำเนินการได้ และพร้อมย้ำไปยังประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกกับการให้ข่าวที่โจมตีรัฐบาล เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวยังมองว่าการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดี เพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้นเพื่อจะยืมมือประชาชนในการยึดอำนาจรัฐบาล


วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สภาพัฒน์ GDP ไตรมาสแรกตกหวบ


        หอการค้าไทย มอง GDP ไตรมาสแรกของสภาพัฒน์ ตกหนักต่ำกว่าเป้า นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อํานวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าการแถลงรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่เผยว่า ไตรมาสแรกอัตราเศรษฐกิจของไทย (GDP) ขยายตัวได้เพียงร้อยละ 5.3 นั้น ถือว่าต่ำเกินไป เนื่องจากต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ซึ่งภาวะเศรษฐกิจตอนนี้อยู่ในช่วงของการชะลอตัวลงแล้ว ถือว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างอันตรายหากยังไม่มีการปรับหรือขยับตัวแต่อย่างใดได้รับผลกระทบเป็นแน่เนื่องจากตอนนี้นักลงทุนมองแล้วว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีผลมาจาก QE ของธนาคารกลางสหรัฐ  แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วก็ตามแต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าลงทุนเพราะเกรงปัจจัยในการประกาศยุติ QE นั้นเองจึงทำให้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมตอนนี้ค่อนข้างไม่ขยายตัวตามที่คาดการณ์ไว้

        อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุม ในวันที่ 29 นี้ ก็เชื่อว่าจะคงสงวนท่าทีในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่เดิม ที่ร้อยละ 2.75 แต่หากมีการปรับลด ก็เชื่อว่าจะปรับลดที่ร้อยละ 0.25 เท่านั้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย แต่หากดำเนินการทันที ก็ถือว่าจะเป็นการทำให้ตลาดตื่นตกใจ แต่คาดการณ์ว่าหน้าจะเป็นการปรับลดลงมากกว่าเพราะเกรงผลกระทบอื่นๆที่จะตามมา แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่อไปแท้ที่จริงแล้วคณะกรรมการนโยบายการเงินจะแก้ปัญหาดอกเบี้ยอย่างไรต่อไป





วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ซีอีโอดีแทคเตรียมรุกพม่าเต็มสูบ




        หลังจากการห่างหายไปนาน ร่วม 5 ปี ซิคเว่ เบรกเก้ ซีอีโอเทเลนอร์ เอเชียกลับมายิ้มได้อีกครั้งเมื่อเคลียปัญหาการลงทุนในอินเดียเสร็จสิ้นก็เตรียมคว้าใบอนุญาติมือถือ รุกประเทศพม่า ท่ามกลางการประมูลจาก บิ๊กเนม 12 ประเทศ พร้อมเผยว่าดีแทคมีการเจริญเติมโตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในด้านของเครือข่าย และอินเตอร์เน็ต ซื้อของผ่านเน็ต ที่มียอดรายได้ในปีที่ผ่านมาเป็นลูกค้าในโซนแถบเอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตด้านรายได้สูงที่สุด ด้วยฐานลูกค้า 133 ล้านคน

        ถือเป็นเรื่องที่หน้ายินดีสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของดีแทคในการผลักดันการใช้งานอินเตอร์เน็ตไร้สายทั่วประเทศ เข้าถึงผู้คนในพื้นที่ห่างไกลและยังเป็นการกระตุ้นอินนเตอร์เน็ตในตลาดโลก ทั้งนี้ยังกล่าวอีกว่าอยากผลักดันบุคลากรที่มีคุณภาพสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสบการการทำงานในระดับอินเตอร์เพื่อสร้างโอกาสให้กับพนักงานและเพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น หลังจากการเคลียปัญหาที่อินเดียเสร็จ ขณะนี้กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อลุยแข่งขันประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการในพม่า ซึ่งจัดสรรเพียง 2 ใบ โดยเทเลนอร์เข้ารอบในกลุ่ม 12 บริษัทสุดท้าย ร่วมกับสิงคโปร์เทเลคอม Axiata เคดีดีไอ โวดาโฟน ฟรานซ์เทเลคอม เป็นต้น

        โดยพม่าถือเป็นตลาดที่มีโอกาสดี ณ สิ้นปีที่ผ่านมา พม่ามีผู้ใช้บริการเพียง 5.44 ล้านคน คิดเป็นแค่เพียง 9% ของประชากรทั้งหมด โดยคาดว่าภายในวันที่ 27 มิ..นี้ จะได้รู้ผลกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งหลังจากพม่าแล้ว เทเลนอร์ยังมีแผนที่จะเดินหน้าขยายสู่ตลาดเอเชียอื่นๆต่อไปด้วยหากการประมูลสำเร็จแน่นอนว่า เทเลนอร์มีแผนรุกพม่าอย่าเต็มกำลังแน่นอนด้วยแนวโน้มประชากรที่มีคนใช้โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตมากขึ้นจะขยายดีแทคให้ไกลกกว่าเดิมและยันพร้อมลุยตลาดเอเชียในประเทศอื่นๆต่อไป

        ซึ่งตอนนี้ดีแทคมีภาพลักษณ์ที่สดใสยอดขายเพิ่มขึ้นด้วยแพกเก็ตต่างๆที่คิดขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้ใช้บริการซึ่งกลยุทธ์อันชาญฉลาดนี้ทำให้ดีแทคสามารถกอบโกยกำไลได้อย่างต่อเนื่องและการทำงานที่ผ่านมามีความมุ้งมันและไม่ท้อแม่จะประสบปัญหาอะไรก็ตามทำให้ดีแทคผ่านวิกฤตนั้นมาได้จนถึงปัจจุบัน คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้ใช้เป็นอย่างดี





วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปัญหากุ้งแช่แข็ง



            ยังคงคุ้มเครือปัญหากุ้งแช่แข็งนางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่สหรัฐอเมริกาเปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน สินค้ากุ้งแช่แข็งของไทย โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยให้การอุดหนุนสินค้ากุ้งแช่แข็งรวม 13 ข้อกล่าวหาว่า ได้ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบแบบสอบถามของสหรัฐฯ ซึ่งดำเนินการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนด และแม้สหรัฐฯ จะยังมีข้อสงสัย และต้องการข้อมูลพร้อมหลักฐานเพิ่มเติม ก็มีความพร้อมที่จะชี้แจงและแสดงหลักฐานที่สมบูรณ์ได้ โดยสหรัฐฯ มีกำหนดประกาศผลการไต่สวนขั้นต้นกรณีดังกล่าวภายในวันที่ 28 ..นี้ เพื่อชี้แจงและยื่นหลังฐานเพื่อพิจราณาข้อกล่าวหาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลและหลักฐานที่ได้แสดงต่อสหรัฐฯ มีความมั่นใจว่า ไทยคงจะหลุดพ้นข้อกล่าวหาต่างๆ ได้จำนวนมาก และถึงแม้จะถูกใช้มาตรการซีวีดีในบางข้อกล่าวหา ก็เชื่อว่าไทยจะถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้ในอัตราที่ต่ำกว่าอีก 6 ประเทศที่ถูกกล่าวหาในกรณีเดียวกัน 

            ทั้งนี้สำหรับการเปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการซีวีดีสินค้ากุ้งแช่แข็งนั้น สหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลไทยให้การ อุดหนุอุตสาหกรรมกุ้ง โดยพิจารณาจากทุกโครงการของทุกหน่วยงานรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมกุ้ง เช่น โครงการยกระดับราคากุ้ง การให้เงินทุนหมุนเวียน การให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ สิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นต้น ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสินค้ากุ้งแช่แข็งอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการส่งออกปีละมากกว่า 45,000 ล้านบาท จากสถิติการนำเข้าของสหรัฐฯ ไทยเป็นแหล่งนำเข้ากุ้งอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าสามารถแก้ปัญหากุ้งแช่ได้อย่างแน่นอน

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง



           ตามโครงการที่เป็นประเด็นกันอยู่ในตอนนี้ ก็คงไม่พ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ยังเป็นปัญหาถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ยังเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงทั้ง 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หนองคาย และกรุงเทพฯ-หัวหิน คาดว่าจะนำเสนอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ได้ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้

          ทั้งนี้ เบื้องต้นจะสามารถก่อสร้างได้ 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-หนองคาย แต่ระยะแรกจะก่อสร้างกรุงเทพฯ-พิษณุโลก และกรุงเทพฯ-นครราชสีมาก่อน เนื่องจากมีการศึกษารายละเอียดโครงการไว้แล้ว ส่วนช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ และนครราชสีมา-หนองคาย จะอยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งจะช้ากว่าระยะแรกประมาณ 1 ปี

          "ในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจะไม่ได้ใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาททั้งหมด เพราะหากใช้ทั้งหมด จะไม่มีงบไปก่อสร้างโครงการอื่น แต่มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับการดำเนินโครงการแน่นอน โดยเฉพาะช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ซึ่งไม่ได้อยู่ในงบเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เพราะสามารถนำงบประมาณประจำปีมาดำเนินโครงการได้" นายชัชชาติกล่าว
โครงการนี้จะดำเนินไปตามแผนที่ได้วางไว้และจะถูกชี้แจงการใช้งบประมาณอย่างถูกต้องชัดเจน โปร่งใส เพื่อไม่ให้เป็นข้อถกเถียงกันเมื่อโครงการกำลังดำเนินการอยู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับต่างจังหวัด ได้ดีอีกด้วย